Outcome-based learning (OBE)
จุดเริ่มต้น: แนวคิด OBE เริ่มต้นในช่วงปี 1960 ในสหรัฐอเมริกา โดย Ralph Tyler นักการศึกษาและนักจิตวิทยา Tyler เสนอให้มุ่งเน้นไปที่ “สิ่งที่นักเรียนควรเรียนรู้” แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่ “สิ่งที่ครูสอน” เขายังได้พัฒนารูปแบบการวัดผลที่เน้นผลลัพธ์ของการเรียนรู้ (learning outcomes) แทนที่จะเน้นเนื้อหาการสอน (content)
การพัฒนา: ในช่วงปี 1970 และ 1980 แนวคิด OBE ได้รับความนิยมมากขึ้นในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ หลายแห่ง มีการนำ OBE ไปใช้ในหลากหลายระดับการศึกษา ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา
ปัจจุบัน: OBE ยังคงเป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน มีการนำ OBE ไปใช้ในหลายประเทศทั่วโลก องค์กรต่างๆ เช่น UNESCO และ OECD สนับสนุนการใช้ OBE
องค์ประกอบสำคัญของ OBE:
- ผลลัพธ์การเรียนรู้: OBE มุ่งเน้นไปที่ “สิ่งที่นักเรียนควรเรียนรู้” ผลลัพธ์การเรียนรู้ควรเป็นสิ่งที่วัดได้
- การวัดผล: การวัดผลใน OBE มุ่งเน้นไปที่การประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้
- การออกแบบหลักสูตร: หลักสูตร OBE ได้รับการออกแบบเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้
- การสอน: การสอนใน OBE มุ่งเน้นไปที่การช่วยให้นักเรียนบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้
ข้อดีของ OBE:
OBE ช่วยให้มั่นใจได้ว่านักเรียนจะได้รับความรู้และทักษะที่จำเป็น
OBE ช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากขึ้น
OBE ช่วยให้ครูวัดผลการเรียนรู้ของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อเสียของ OBE:
OBE อาจใช้เวลามากในการพัฒนาและ implement
OBE อาจจำกัดความคิดสร้างสรรค์ของครู
OBE อาจไม่เหมาะกับทุกวิชา
ตัวอย่างการใช้ OBE:
ในประเทศไทย มีการนำ OBE ไปใช้ในหลายมหาวิทยาลัย ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหิดล ในต่างประเทศ มีการนำ OBE ไปใช้ในหลายประเทศ ตัวอย่างเช่น ออสเตรเลีย แคนาดา และสหราชอาณาจักร
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
Outcome-based education: https://en.wikipedia.org/wiki/Outcome-based_education